บทความสาระความรู้ / พระเครื่อง วัตถุมงคลที่นี่

รายการวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง

ผู้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา


ผู้มีขันติ เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา
“ผู้มีขันติ นับว่ามีเมตตา มีลาภ มียศ และมีสุขเสมอ
ผู้มีขันติเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย”
นี้เป็นพุทธศาสนสุภาษิต
  ขันติ คือความอดทน เป็นต้นอดทนต่อหนาวร้อน
หิวระหาย อดทนต่อถ้อยคำแรงร้าย และอดทนต่อทุกขเวทนา
ต่างๆไม่แสดงอาการผิดไปจากปกติ เมื่อพบความหนาวร้อน
หิวระหาย เมื่อได้ยินถ้อยคำแรงร้าย และเมื่อเกิดทุกขเวทนา
ต่างๆ

ความอดทน...เกิดได้ด้วยความเมตตาเป็นสำคัญ
 ผู้มีขันติ นับได้ว่าเป็นผู้มีเมตตา เพราะความอดทน
จะทำให้ไม่ปฏิบัติตอบโต้ความรุนแรงที่ได้รับ คือจะไม่ทำร้าย
แม้ผู้ที่ให้ร้าย จะอดทนได้ สงบอยู่ได้อย่างปกติ ความอดทนได้
เช่นนี้มีเหตุสำคัญประการหนึ่ง คือความเมตตา
  ความเมตตาจะทำให้ไม่คิดร้าย ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย
ผู้ใดทั้งนั้น แม้ว่าผู้นั้นจะคิดร้าย พูดร้าย ทำร้ายตนสักเพียงใด
เมตตาจะทำให้มุ่งรักษาผู้อื่น รักษาจิตใจผู้อื่นไม่ให้ต้อง
กระทบกระเทือน เพราะการคิด การพูด การทำของตน
ความมุ่งรักษาจิตใจผู้อื่นเช่นนั้น เป็นเหตุให้พยายามระงับกาย
วาจา ใจของตนให้สงบอยู่ ไม่แสดงความรุนแรงผิดปกติ
ให้ปรากฏออกกระทบผู้อื่น นี้คือขันติ...ความอดทน ที่เกิดได้ด้วย
อำนาจของเมตตาเป็นสำคัญ

ผู้มีขันติ...ความอดทน สงบอยู่ได้ด้วยอำนาจขันติ
  ผู้มีขันติ...ความอดทนนั้น ไม่ใช่ผู้ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว
ไม่ใช่ผู้ไม่รู้หิวระหาย ไม่ใช่ผู้ไม่รู้คำหนักคำเบา ไม่ใช่ผู้ไม่รู้สุข
ไม่รู้ทุกข์ ผู้มีขันติก็เช่นเดียวกับใครทั้งหลาย ที่มีสติสัมปชัญญะดีอยู่
คือเป็นผู้รู้ร้อนรู้หนาว เป็นผู้รู้หิวระหาย เป็นผู้รู้คำหนักคำเบา
เป็นผู้รู้สุขรู้ทุกข์
  แต่ผู้มีขันติแตกต่างจากผู้ไม่มีขันติตรงที่ผู้ไม่มีขันตินั้น
เมื่อพบร้อนพบหนาวมากไปน้อยไป ก็กระสับกระส่าย
กระวนกระวาย แสดงออกถึงความเร่าร้อนไม่รู้อดไม่รู้ทน
ของจิตใจ ส่วนผู้มีขันติ เมื่อพบร้อนพบหนาวมากไปน้อยไป
ก็จะสงบใจอดทน ไม่แสดงออกให้ปรากฏทางกาย ทางวาจา
หรือเมื่อหิวระหาย ผู้ไม่มีขันติก็จะวุ่นวาย กระสับกระส่าย
แสวงหา ส่วนผู้มีขันติจะสงบกาย วาจา หิวก็เหมือนไม่หิว
ระหายก็เหมือนไม่ระหาย ไม่ปรากฏให้ใครอื่นรู้ได้จากกิริยา
อาการภายนอก
  คำหนักเบาก็เช่นกัน ผู้ไม่มีขันติเมื่อกระทบถ้อยคำถึงตน
ที่หนักหนารุนแรงก็จะเกรี้ยวกราด เร่าร้อน ให้ปรากฏทางกาย
ทางวาจา ส่วนผู้มีขันติจะสงบอยู่ได้ด้วยอำนาจของขันติ
ได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน คำหนักก็เหมือนคำเบา เสียงติฉินก็จะ
เหมือนเสียงลมแว่วผ่าน ไม่อาจทำให้ปรากฏเป็นการกระทำ
คำพูดที่รุนแรงเป็นปฏิกิริยาตอบโต้

ขันติ...เป็นเหตุแห่งความลาภยศ และมีสุขอยู่เสมอ
  ผู้มีขันติ ไม่หวั่นไหววุ่นวายกับความเร่าร้อน ความหนาว
ความหิวระหาย ไม่เร่าร้อนโกรธเคืองขุ่นแค้นกับถ้อยคำ
แรงร้าย ไม่คร่ำครวญหวนไห้ ไม่ทุกข์ระทมกับความทุกขเวทนา
ที่มาประสบพบเข้า เมื่อเป็นเช่นนี้การดำรงชีวิตอยู่ในโลกของ
ผู้มีขันติ ย่อมไม่สะดุดหยุดยั้งเพราะความหนาวความร้อน
เพราะความหิวระหาย เพราะวาจาแรงร้าย หรือเพราะ
ทุกขเวทนาต่าง ๆ งานการย่อมดำเนินไปได้เป็นปกติ หนาวก็
ปกติ ร้อนก็ปกติ หิวก็ปกติ ระหายก็ปกติถูกตำหนิติฉินนินทา
ผู้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา
ว่าร้ายก็เป็นปกติ เกิดทุกขเวทนาก็เป็นปกติ งานการที่ดำเนิน
ไปเป็นปกติตลอดเวลา ไม่เลือกหน้าหนาวหน้าร้อน ไม่เลือก
เวลาอิ่มเวลาหิว ไม่เลือกเวลาระหายหรือไม่ระหาย ไม่ว่า
ทุกขเวทนาจะกำลังรุมล้อมหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมีลาภ
มียศ และมีสุขเสมอเป็นธรรมดา
เมตตา...เป็นเหตุให้เกิดขันติ คือความอดทน
  ผู้มีขันติเป็นผู้มีเมตตา อีกนัยหนึ่งก็คือ เมตตาเป็นเหตุ
ให้เกิดขันติ คือความอดทน เมื่อต้องการจะเป็นผู้มีขันติ
ต้องนำเมตตามาใช้ คือต้องคิดด้วยเมตตาเป็นประการแรก
แล้วจึงพูดจึงทำด้วยเมตตาตามต่อมา เมื่อได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน
ได้สัมผัส ได้กระทบเรื่องใด สิ่งใด ผู้คนใด ที่รุนแรงหยาบกระด้าง
ไม่ประณีตงดงาม แก่ตาแก่หูเป็นต้นของตน แม้ใจหวั่นไหว
ไม่ว่ามากหรือน้อย เมื่อสติเกิดรู้ตัว เป็นความหวั่นไหว
ความเร่าร้อนแห่งจิตของตน อันเกิดแต่ความโกรธก็ตาม
ความคับแค้นใจ ความน้อยใจก็ตาม ความเศร้าเสียใจ
ทุกข์โทมนัสใจก็ตาม ผู้ไม่มีขันติจะคิดจะพูดจะทำเพื่อระบาย
ความกดดันในใจออก ให้รุนแรงสาสมกับความกระทบกระเทือน
ที่ได้รับรู้รับเห็น
  แต่ผู้มีขันติพอสมควร จะระงับความกดดันให้อยู่
แต่ภายในใจ ไม่ให้ระเบิดออกมาเป็นการกระทำคำพูด ไม่ให้รู้
ไม่ให้เห็น ไม่ให้ประจักษ์ ไม่ให้กระทบกระเทือนผู้เป็นเหตุ
ให้มีเสียงมีเรื่องเกี่ยวกับตน มาถึงตน

ขันติที่แท้...เป็นความเบาสบายแก่ใจและกาย
  ใจเป็นใหญ่ ใจมีความสำคัญแก่ทุกชีวิตอย่างยิ่ง
การปล่อยให้ใจมีเรื่องเร่าร้อนเข้าเผาลน ย่อมมีผลร้ายแก่ชีวิต
ขันติที่แท้จริง เป็นขันติที่ให้ความเบาสบายแก่ใจ เบาสบาย
แก่กายเบาสบายแก่ใจคือใจเบิกบาน ปลอดโปร่ง ไม่บอบช้ำ
เศร้าหมองด้วยความเสียใจ น้อยใจ เจ็บใจ อันเกิดแต่
ความไม่สมหวัง ไม่อาฆาตพยาบาท อันเกิดแต่ความโกรธแค้น
ขุ่นเคืองอย่างรุนแรง เบาสบายกายคือ จะปฏิบัติหน้าที่การงาน
เข้าสังคมสมาคม ได้อย่างสบายใจ มั่นใจ ไม่สะทกสะท้าน
ให้ความเย็นแก่ผู้พบเห็นข้องเกี่ยวใกล้ชิด
  เมตตาเป็นเหตุให้เกิดขันติได้ คือเมื่อได้ยินได้ฟัง
ได้รู้ได้เห็นอะไรที่ทำให้กระทบกระเทือนความสงบเย็นของใจ
ให้คิดถึงผู้ก่อให้เกิดเรื่องเกิดเสียงเหล่านั้นอย่างถูกต้อง
ความสำคัญอยู่ที่ความคิดนั้น ถ้าคิดให้ดี คิดให้ถูกต้องก็จะให้เกิด
ผลดีแก่จิตใจ ถ้าคิดไม่ดี ไม่ถูกต้อง ก็จะเกิดผลไม่ดีแก่จิตใจ
ตนเอง
เมื่อใดพบเห็นหรือได้ยินได้ฟังเรื่องใดสิ่งใด แล้วรู้สึกว่าผลไม่ดี
คือความเดือดร้อนกำลังเกิดแก่จิตใจตน เมื่อนั้นให้รู้ว่า
ตนกำลังคิดไม่ดี คิดไม่ถูกต้อง แม้จะอดทนไม่พูดไม่ทำอะไร
กระทบตา กระทบหูกระทบใจผู้อื่น แต่เมื่อใจเร่าร้อนอยู่
นั้นเป็นเพียงขันติที่ไม่ถูกแท้ พึงแก้ที่ใจ ให้ขันติที่ถูกแท้เกิดขึ้น
ให้ได้ คือแก้ที่ใจให้สงบเย็นได้เมื่อใด เมื่อนั้นมีขันติที่ถูกแท้แล้ว
คิดให้ดี คิดให้ถูกต้องดับทุกข์ร้อนในใจได้จริง

  คิดให้ดี คิดให้ถูกต้อง จักเกิดเมตตา 
อันจักเป็นเหตุให้มีขันติที่ถูกแท้ ดับทุกข์ดับร้อนในจิตใจได้จริง ไม่เพียงแต่
อดทนบังคับกาย วาจาไม่ให้แสดงออกเท่านั้น แต่ใจเร่าร้อนอยู่
เมตตา...เหตุแห่งขันติที่ถูกแท้ จะเกิดขึ้นดับทุกข์ดับร้อนใน
จิตใจได้จริงก็ต้องคิดให้ถูกต้องถึงผู้เป็นเหตุแห่งเสียงทั้งหลาย
เรื่องทั้งหลาย อันนำให้เกิดความเร่าร้อนขุ่นมัว คือต้องคิดให้
ตระหนักชัดแก่จิตใจว่า ใจของผู้เป็นเหตุอยู่ในระดับเดียวกับ
เสียงกับเรื่องที่เขาก่อขึ้น เสียงและเรื่องที่หยาบที่รุนแรง
เลวร้าย จะเกิดก็แต่ใจที่หยาบรุนแรงเลวร้าย และใจเช่นนั้น
ที่ก่อให้เกิดเสียงเกิดเรื่องเช่นนั้น ย่อมทำให้เจ้าของใจนั้น
หาความสุขสงบไม่ได้ ใจเช่นนั้นจึงควรได้รับความเมตตา
จากผู้มีเมตตาทั้งหลายไม่ใช่ควรได้รับความโกรธแค้นขุ่นเคือง

อุบายรักษาใจไม่ให้หวั่นไหว เร่าร้อน
  แม้ปรารถนาจะรักษาใจไม่ให้หวั่นไหว เร่าร้อน
เมื่อได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็นเรื่องที่ไม่ประณีตแก่หู หรือแก่ตา
แก่ใจ ต้องคุมสติ คุมความคิด เตือนตนให้ตระหนักในความจริง
ว่า ตนกำลังไม่เมตตา พึงย้ำเตือนตนให้ตระหนักแม้เพียงสั้น ๆ
แต่ต้องจริงใจว่า “เราเมตตาไม่พอ เราเมตตาไม่พอ”
  เมื่อใจร้อนด้วยความขัดใจ น้อยใจเสียใจ หรือโกรธแค้น
ขุ่นเคือง ให้ย้ำเตือนตนเองว่ากำลังขาดเมตตา เมตตา
ไม่พอจึงเร่าร้อน เพราะโกรธผู้ที่พูดที่ทำเรื่องไม่เจริญหูเจริญใจ
ให้เกิดแก่ตน หรือแก่ผู้เป็นที่รักแห่งตน ถ้าเมตตาพอ...จะเห็น
ความน่าเมตตาของผู้เป็นเหตุให้เกิดเรื่องเกิดเสียงร้ายแรง
ทั้งหลาย

อบรมเมตตาให้ยิ่ง แล้วขันติจะตามมา
  เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก คือค้ำจุนทุกคน ผู้มีเมตตา
คือผู้ค้ำจุนทั้งตัวเองและผู้อื่น ค้ำจุนตัวเองประการสำคัญ คือ
ทำความสงบสบายใจให้เกิดแก่ตนเอง ไม่มีความสบายใด
จะเสมอด้วยความสบายใจ และความสบายใจจะไม่เกิดแต่สายตรงศาสนา 
เหตุใดเสมอด้วยเหตุคือเมตตา การอบรมเมตตาจึงสำคัญ
จึงจำเป็น “เมตตา” นั้น เมื่ออบรมเสมอ จะเพิ่มพูนไพศาล
แผ่ไปได้ถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งปวง และกระทั่งถึง
พรหมเทพ ท่านจึงแสดงไว้ว่า “ผู้มีขันติ เป็นที่รักที่ชอบใจของ
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย” เพราะผู้มีขันติคือผู้มีเมตตา
อบรมเมตตาให้ยิ่งแล้วขันติจะตามมาเป็นผลของเมตตา

สติ : ตัวสำคัญในการอบรมเมตตา
  การอบรมเมตตาเพื่อให้เกิดขันติ มีสติเป็นตัวสำคัญ
เมื่อใจจะหวั่นไหวด้วยความไม่ชอบใจ ด้วยความโกรธ
พึงมีสติระลึกรู้ให้ทัน ปรามตัวเองให้ทัน ด้วยบอกแก่ตัวเอง
อย่างจริงใจว่า มีเมตตาไม่พอถ้าเมตตาพอก็จะเมตตาผู้ที่ทำให้
ใจเกิดความหวั่นไหว จะเข้าใจที่เขาพูดเขาทำเช่นนั้น อันไม่ถูก
ไม่ชอบ ว่าเพราะจิตใจเขาอยู่ในระดับนั้น อันจะฉุดลากเขาให้
ลำบากสถานเดียว ควรเมตตาเขานัก

ไม่มีอำนาจร้ายแรงใด ทานอำนาจแห่งเมตตาได้
  ทุกคนจะต้องประสบพบสิ่งไม่ต้องหูไม่ต้องตา
ไม่ต้องใจ มากมายในแต่ละวัน พึงเตือนตนเองให้จริงใจว่า
เมตตาของตนยังไม่พอ ต้องอบรมเมตตาให้มากยิ่งขึ้น
หยุดโกรธแค้นขุ่นเคือง น้อยใจ เสียใจ ร้อนใจ เพราะเสียง
เพราะเรื่องที่กระทบได้เมื่อใด เมื่อนั้นจึงแสดงว่ามีเมตตา
พอสมควร พอจะช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นให้ร่มเย็นเป็นสุขได้
เมื่อนั้นทุกคนจะรู้สึกด้วยตนเองว่า เมตตาค้ำจุนโลกจริง
เมตตาช่วยตนก่อนจริงเมตตาใหญ่ยิ่งจริง
  ช้างนาฬาคิรีที่กำลังบ้าคลั่งเมามัน ยังพ่ายแพ้แก่
พระเมตตาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่มีอำนาจแรงร้ายใดจะทานอำนาจแห่งเมตตาได้ นี้เป็นสัจจะ
คือ ความจริงที่จะเป็นจริงเสมอไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง พลังร้าย
ภายนอกยิ่งแรงยิ่งต้องใช้พลังเมตตาที่แรง เมื่อใดพลังเมตตา
แรงพอก็จะสยบพลังร้ายได้สิ้น

เมตตา เป็นบาทของศีล
  เมตตาเป็นบาทของศีล เพราะเมตตาจะทำให้ไม่เบียดเบียน
ทำความเดือดร้อนให้เกิด ความไม่เบียดเบียนคือศีล ผู้มีศีล
เป็นผู้ไม่เบียดเบียนให้เกิดความเดือดร้อน ทั้งมากน้อย
หนักเบา
  การเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นการ
ไม่เบียดเบียน เป็นเมตตาและเป็นศีล
  การเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของไม่ยินดีอนุญาตให้
เป็นการไม่เบียดเบียน เป็นเมตตาและเป็นศีล
  การเว้นจากประพฤติผิดประเวณีในบุตรภริยา
สามีผู้อื่น เป็นการไม่เบียดเบียน เป็นเมตตาและเป็นศีล
  การเว้นจากพูดให้เกิดความเข้าใจผิดจากความจริง
เป็นการไม่เบียดเบียน เป็นเมตตาและเป็นศีล
  การเว้นจากสิ่งทำให้มึนเมา เป็นการไม่เบียดเบียน
เป็นเมตตาและเป็นศีล

ผู้มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีศีล
  เมตตากับศีลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอ ยากจะแยก
จากกันได้ ผู้มีศีลก็คือผู้มีเมตตา ผู้มีเมตตาย่อมเป็นผู้มีศีล
ผู้ไม่มีศีลคือผู้ไม่มีเมตตา เพราะศีลคือความไม่เบียดเบียนด้วย
ประการทั้งปวง ไม่เบียดเบียดทั้งตนเอง และไม่เบียดเบียน
ทั้งผู้อื่น ความไม่มีศีล...เป็นความเบียดเบียนให้เกิดความทุกข์
ความเดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ซึ่งแม้เป็นผู้มีเมตตา
จะไม่อาจละเมิดศีลข้อที่ ๑ คือเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง
รวมทั้งไม่อาจทำความทุกข์ทรมานให้เกิดแก่สัตว์
  ผู้มีเมตตาจะไม่อาจละเมิดศีลข้อที่ ๒ คือเว้นจาก
การถือเอาข้าวของที่เจ้าของไม่ยินดีอนุญาตให้ ของที่เจ้าของ
ให้อย่างจำใจ อย่างไม่ยินดี ผู้มีเมตตาก็จะต้องเว้น
จะไม่ละเมิดศีลข้อนี้ เพราะการละเมิดนี้จะเป็นการก่อทุกข์
ให้เกิดแก่ผู้เป็นเจ้าของ
  ผู้มีเมตตาจะไม่อาจละเมิดศีลข้อที่ ๓ คือเว้นจาก
การประพฤติผิดประเวณีในบุตรภริยาสามีผู้อื่น อันเป็นการก่อ
ความทุกข์ และผู้มีเมตตาจะไม่อาจละเมิดศีลข้อที่ ๔ คือ
เว้นจากพูดให้เกิดความเข้าใจผิดจากความจริง อันจักก่อให้เกิด
ความเสียหาย ความเป็นทุกข์เดือดร้อนได้ ผู้มีเมตตา
จะไม่อาจละเมิดศีลข้อที่ ๕ คือเว้นจากสิ่งทำให้มึนเมาอันจัก
เป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายได้ต่างๆ

การไม่เมตตาผู้อื่น เป็นการไม่เมตตาตนด้วย
  ศีลเกิดแต่เมตตา เมตตาเกิดกับศีล ทั้งสองเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกัน ศีลของผู้ใดบกพร่องเมตตาของผู้นั้นก็บกพร่องด้วย
บกพร่องทั้งเมตตาตนเอง และบกพร่องทั้งเมตตาผู้อื่น
อันเมตตาตนเองกับเมตตาผู้อื่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แยกจากกันไม่ได้
  การไม่เมตตาผู้อื่นก็เป็นการไม่เมตตาตนไปพร้อมกัน
พึงคิดถึงสัจจะประการหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ คือ1  สายตรงศาสนา
“ทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้รับผล
ของกรรมนั้น” เมื่อเบียดเบียนเขา เราเองนั่นก็จะต้องได้รับผลนั้น
เมื่อไม่เมตตาเขาเราเองนั่นก็จะต้องได้รับผลนั้น
“เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก” มีพระพุทธศาสนสุภาษิต
แสดงไว้เช่นนี้ เมื่อเมตตาเป็นเหตุให้มีศีล ศีลเกิดแต่เมตตา
เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก ก็คือศีลเป็นเครื่องค้ำจุนโลก เช่นกัน
โลกมิได้หมายถึงเพียงดาวดวงหนึ่งดังเป็นที่เข้าใจกันอยู่
แต่โลกหมายถึงตนเอง หมายถึงเขาอื่นทั้งหลายทั้งปวง
ผู้มีเมตตาหรือผู้มีศีลจึงเป็นผู้ค้ำจุนตนเองและค้ำจุนผู้อื่น
ทั้งหลาย

โทสะ...เปรียบดั่งไฟ ร้อนทั้งกายและใจ
  โทสะคือความโกรธเปรียบได้ดั่งไฟ เพราะเมื่อ
ความโกรธเกิดขึ้นเมื่อไร ความร้อนจะเกิดขึ้นพร้อมกันทันที
ไม่ร้อนเพียงที่ใจ แต่ยังร้อนถึงกายได้ด้วย มากน้อยตามแรง
แห่งโทสะแต่ทั้งๆ ที่พากันกลัวไฟไหม้ก็ไม่พากันกลัวโทสะ ทั้งที่
ความจริงนั้น โทสะไหม้แรงกว่าไฟทั้งหลายเป็นอันมาก โทสะ
อาจจุดไฟทั้งหลายให้ลุกโพลงได้ เมื่อความโกรธเกิดถึงจุดหนึ่ง
ก็เป็นเหตุให้จุดไฟเผาผลาญอาคารบ้านเรือน ให้พินาศหมด
สิ้นไปได้พร้อมกับชีวิตผู้คนได้ด้วย มีปรากฏให้รู้ให้เห็น
อยู่เสมอเพียงแต่ไม่พากันคิดให้เข้าใจว่านั่นคือโทษของโทสะ
ที่รุนแรง น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าพระเพลิงหลายร้อยหลายพันเท่า
เมตตาดั่งน้ำ ดับไฟร้อนแห่งโทสะให้มอดลง

  เมตตาเปรียบได้ดั่งน้ำจริง ๆ น้ำดับไฟได้ฉันใด
เมตตาก็ดับโทสะหรือความโกรธได้ฉันนั้น เปรียบโทสะดั่งไฟ
เพราะไฟร้อน และโทสะก็ร้อน เปรียบเมตตาดั่งน้ำ เพราะ
น้ำเย็น และเมตตาก็เย็น ความร้อนและความเย็นทั้งสองนี้
จะปรากฏได้ในจิตใจ รู้ได้ด้วยตนเอง รู้สึกร้อนที่ใจเป็นประจำ
ก็พึงรู้ว่าตนถูกโทสะครอบคลุมมาก...มากกว่าเมตตา รู้สึกเย็น
อยู่ที่ใจเป็นปกติ ก็พึงรู้ว่าตนมีเมตตาห้อมล้อมอยู่มากกว่า
โทสะ

หนีพ้นไฟร้อนแห่งโทสะ ได้ด้วยสติ
  ทุกคนชอบเย็น ทุกคนไม่ชอบร้อน แต่ไม่ทุกคนที่รู้จริง
ว่า ความเย็นเกิดแต่เมตตาจริง ๆ และความร้อนก็เกิดแต่
โทสะจริง ๆ จะให้รู้ได้ด้วยตนเองตามความเป็นจริง เพื่อ
สามารถหนีพ้นความร้อนได้มีความเย็น ก็ต้องใช้สติ
  เมื่อความโกรธคือโทสะเกิด ให้รู้ตัวว่ากำลังโกรธแล้ว
ขณะเดียวกันก็ให้สังเกตว่า จิตใจหน้าตาเนื้อตัวร้อนผิดปกติ
หรือไม่ จะรู้สึกชัดว่าจิตใจเนื้อตัวหน้าตาเวลาโกรธ...
ร้อนผิดปกติ นั่นคือเครื่องยืนยันว่า โทสะให้ความร้อน และ
เป็นความร้อนที่ไม่มีประโยชน์ มิใช่ความร้อนที่อาจนำไป
หุงหาอาหารได้ โทสะจึงให้แต่โทษ ไฟยังดีกว่าโทสะเพราะไฟ
ให้คุณคือใช้ทำประโยชน์ได้ โทสะมีแต่ให้โทษ พึงระลึกถึง
ความจริงนี้ไว้จะเป็นคุณต่อไป

“เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอ” คาถาป้องกันโทสะ
  มีเป็นอันมากที่รู้ความเป็นผู้มักโกรธของตน รู้โทษนั้น
เมื่อปรารถนาจะหนีให้พ้นโทษของความโกรธก็พึงรับความจริง
ว่าเมตตาเท่านั้นที่จะดับความโกรธได้ เมตตาเท่านั้นที่จะ
ป้องกันมิให้ความโกรธรุนแรงได้ บางทีจึงใช้วิธีที่ง่าย คือใช้
คำภาวนาเมื่อความโกรธเกิดขึ้น เช่น ท่องพุทโธ แต่แม้จะให้
เป็นปัญญา ป้องกันความโกรธให้ไกลออกไปเป็นลำดับ
ให้เมตตามากขึ้นเป็นลำดับ ก็ต้องเปลี่ยนคำภาวนาอันเป็นสมาธิ
ให้มาเป็นคำภาวนาอันเป็นปัญญา คือด้วยการบอกตัวเอง
หรือเตือนตัวเองนั่นแหละว่า“เมตตาไม่พอ เมตตาไม่พอ”
  ความสำคัญในการภาวนาว่า “เมตตาไม่พอ” อยู่ที่
ต้องทำใจให้ยอมรับความบกพร่องของใจตน ว่าเมตตาไม่พอ
จริง ๆ นั่นแหละ จึงจะเป็นการค่อยผลักดันโทสะที่มีอยู่
เต็มโลกให้ห่างไกลใจตนได้สำเร็จเป็นลำดับไป “เมตตาไม่พอ
เมตตาไม่พอ” นี้เป็นความจริงที่ทุกคนตำหนิตนได้ ไม่ใช่ไป
ตำหนิผู้อื่น แม้ใช้ “เมตตาไม่พอ” กับผู้อื่นแทนที่จะเป็นคุณ
ก็จะกลับเป็นโทษอย่างแน่นอน พึงสำนึกในความจริงนี้ให้เสมอ
ผู้เป็นที่รักของพรหม เทพ มนุษย์ และสัตว์

  ผู้มีเมตตา เป็นที่รักทั้งของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์
พระเมตตาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เห็นได้ชัดกว่าเมตตาของใครทั้งหลายว่า ทำให้ทรงเป็นที่รัก
ทั้งของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์
  ผู้มีสัมมาทิฐิ มีสัมมาปัญญา ย่อมไม่ปฏิเสธที่ท่าน
แสดงไว้ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาประทับที่ใด ที่นั้นพรหม เทพ
จะแวดล้อมเสด็จสู่ที่ใดท่านกล่าวไว้ว่า พรหม เทพที่ล่วงรู้ก่อน
จะบอกกล่าวกัน ชักชวนกันลงไปเฝ้า ถ้าไม่ด้วยพระเมตตา
มหาศาลแล้วอะไรอื่นจะมีพลังอำนาจเสมอได้

สมเด็จพระญานสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ผู้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ผู้เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา Reviewed by siammongkol on 11:14 Rating: 5

บทความล่าสุดจากเว็บบอร์ดพระเครื่องสยามมงคล

รายการวัตถุมงคลตัวอย่างจากเว็บไซต์หลัก

รายการวัตถุมงคลล่าสุดจากเว็บไซต์พระเครื่องออนไลน์สยามมงคล

รายการล่าสุด

Advertisement

ขับเคลื่อนโดย Blogger.