พระสิวลี หรือหลวงพ่อพระสิวลี เถระเจ้า พระอรหันต์สาวกในครั้งพุทธกาล ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยกย่องให้ ผู้มีเอตทัคคะ หรือผู้เป็นเลิศทางด้านโชคลาภ ซึ่งท่านเป็นหนึ่งในพระสาวกผู้เป็นเลิศหนึ่งใน ๘๐ องค์ ที่พระพุทธเจ้าท่านยกย่องไว้
ประวัติพระสิวลี มีโดยสังเขปดังต่อไปนี้
พระสิวลีท่านเป็นพระโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร เมื่อท่านได้จุติลงในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก แต่ท่านต้องอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน(โดยปรกติแล้วคนปรกติจะอยู่ในครรภ์มารดาแค่ ๙ เดือน) ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพรจากพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า
“ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”
สาเหตุที่ทำให้ท่านต้องอยู่ในครรภ์มารดานานกว่าปรกติก็เพราะมาจากวิบากกรรมในอดีตชาติ ในครั้งที่เป็นพระราชาเมืองหนึ่ง เมื่อไปตีบ้านตีเมืองเขาก็ใช้กลยุทธ์ล้อมเมืองนั้นไว้ เป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ทำให้ชาวเมืองนั้นต้องได้รับความทุกข์ทรมาน และความอดอยาก ด้วยวิบากกรรมนี้ทำให้ท่านและมารดาต้องได้รับความทุกข์ทรมานดังกล่าว
แต่เมื่อมารดาของท่านได้ไปขอพรจากสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาและได้รับพรแล้วด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทำให้พระนางและพระกุมารคลอดลูกออกมาอย่างง่ายดาย และพระกุมารน้อยก็ได้รับพระนาว่า "สิวสีกุมาร"
เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานต่อพระภิกษุสงฆ์และพระบรมศาสดา ติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงบอกกว่าวความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ มารับมหาทาน เป็นภัตตาหาร ในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่างๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก = กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูกุมารน้อยอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพึงพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ 7 ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ
ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่
๑. เกสา(ผม)
๒.โลมา(ขน)
๓.นขา(เล็บ)
๔.ทันตา(ฟัน)
๕.ตโจ (หนัง)
ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งาม เป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม
-ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
-จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกิทาคามี
-จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี
-และเมื่อโกนผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
เหตุที่พระสิวลีท่านสำเร็จเป็นพระอริยะเจ้าได้รวดเร็วนี้เกิดจากบารมีธรรมที่แก่กล้าที่ท่านได้บำเพ็ญมาในอดีตชาตินับเป็นเอนกอนันต์ มีความบริบูรณ์พร้อมด้วยบารมีที่สำเร็จมรรคผลแล้วนั่นเอง
เมื่อท่านอุปสมบทหรือบวชเป็นพระแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่นๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า
“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วย
ภิกขาจาร ”
พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า “ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหารบิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลี นั้นด้วย”
เหตุที่พระสีวลีที่ท่านเป็นผู้ที่มีลาภสักการะมากคือ
ในพระสุตตันตปิฏก กล่าวไว้ว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ครั้งนั้น ท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ในพระนครหงสวดี ได้ยินพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งสาวกของพระองค์ชื่อสุทัสสนะ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภมาก ดังนั้นจึงทรงปรารถนาในตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้นิมนต์ พระชินสีห์พร้อมทั้งพระสาวก ให้เสวยและฉันถึง ๗ วัน ครั้นถวายมหาทานแล้วก็ได้ตั้งความปรารถนาว่า “ขอให้ท่านเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีลาภในอนาคตกาล”
พระปทุมุตตระบรมศาสดา จึงทรงพยากรณ์ว่า ความปรารถนาของท่านนี้จะสำเร็จในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป ท่านจะไปบังเกิดในนาม สีวลี ได้บวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์ของพระโอกกากราช ดังนี้แล้วเสด็จหลีกไป ต่อจากนั้น ท่านก็ได้กระทำกุศลจนตลอดชีวิต
ครั้นสิ้นชีวิตแล้วก็ท่องเที่ยวไปกำเนิดในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ครั้นในกัปที่ ๙๑ ในภัทรกัปนี้ ในกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี
ท่านได้ถือปฏิสนธิในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลพระนครพันธุมดี ในสมัยนั้น ท่านเป็นคนโปรดปรานของสกุลหนึ่งในพระนคร และเป็นคนที่หมั่นขยันขวนขวายในกิจการงาน สมัยหนึ่งหลังจากที่พระบรมศาสดาเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบทกลับมาสู่พระนครพันธุมดี ครั้งนั้น พระเจ้าพันธุมะซึ่งเป็นพุทธบิดาได้ทรงเตรียมอาคันตุกทาน เพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ทรงปรารถนาจะทำมหาทานแข่งกับชาวเมือง ในวันใดที่พระราชาเป็นผู้ถวายทาน เหล่ามหาชนก็จะสังเกตดู และในวันรุ่งขึ้นก็จะเตรียมทานให้ยิ่งกว่านั้น และในวันถัดไป พระราชาก็จะถวายให้ยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ ซึ่งเป็นวันของชาวเมือง ชาวเมืองเหล่านั้นทั้งหมดได้จัดเตรียมสิ่งของไว้ทุกสิ่ง โดยตั้งใจจะไม่ให้มีสิ่งใดที่ขาดแม้สักสิ่งเดียว จึงได้ตรวจดูทานที่ตนได้เตรียมไว้ก็ไม่เห็นน้ำผึ้งสด มีเพียงน้ำผึ้งที่เคี่ยวแล้ว ชนเหล่านั้นจึงให้คนถือเอาทรัพย์คนละ ๑ พันกหาปนะแล้วส่งไปเฝ้ายังประตูพระนครทั้ง ๔ เพื่อขอซื้อจากผู้ที่มาจากชนบทนอกพระนคร
ในวันนั้นเอง ท่านเดินทางเข้ายังพระนครด้วยปรารถนาจะเยี่ยมนายบ้าน ในระหว่างทางท่านเห็นรวงผึ้งที่ปราศจากตัวอ่อน ขนาดเท่างอนไถ จึงไล่ตัวผึ้งให้หนีไป แล้วตัดกิ่งไม้ถือรวงผึ้ง ด้วยตั้งใจว่าจะนำไปให้แก่นายบ้าน ฝ่ายผู้ที่ชาวเมืองมอบเงินไปเพื่อหาซื้อน้ำผึ้ง พบท่านถือรวงผึ้งสดเข้ามาจึงขอซื้อในราคาหนึ่งกหาปนะ ท่านเกิดความคิดว่า ธรรมดารวงผึ้งนี้ย่อมไม่ถึงค่าน้อยกว่าหนึ่งกหาปนะมาก แต่บุรุษนี้ให้ทรัพย์กหาปณะหนึ่ง เห็นจะมีเหตุเบื้องหลังอยู่ จึงตอบปฏิเสธไป บุรุษนั้นจึงขึ้นราคาให้เป็นสองกหาปนะ ท่านก็ยังปฏิเสธอีก บุรุษนั้นก็ขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ จนถึงพันกหาปนะ
ท่านได้พิจารณาเห็นเป็นเรื่องผิดปกติมากที่ขอซื้อรวงผึ้งสดด้วยราคาถึงพันกหาปนะ จึงได้สอบถามถึงเหตุผล บุรุษผู้นั้นจึงให้เหตุผลว่า พวกชาวพระนครได้ตระเตรียมมหาทาน เพื่อถวายพระวิปัสสีสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีสมณะ ๖ ล้าน ๘ แสนเป็นบริวาร ในมหาทานนั้นยัง ไม่มีน้ำผึ้งดิบอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงขอซื้อในราคาเช่นนั้น.
ท่านเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ทำบุญอันยิ่งใหญ่ จึงขอมีส่วนร่วมในมหาทานนั้น บุรุษนั้นไปบอกเนื้อความแก่ชาวเมือง ชาวเมืองทราบในศรัทธาของเขาจึงอนุโมทนา ท่านจึงได้เอากหาปณะที่ตนเก็บไว้เพื่อเป็นเสบียงเดินทางจากบ้านไปซื้อเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ทำให้ป่น นำเอาน้ำส้มมาจากนมส้มแล้ว คั้นรังผึ้งลงในนั้น ปรุงด้วยจุณเครื่องเทศ ๕ อย่างแล้ว ใส่ลงใบบัว ตระเตรียมสิ่งนั้นเรียบร้อยแล้วถือไปนั่งในที่ไม่ไกลพระทศพล เมื่อมหาชนเป็นอันมากนำเอาสักการะไป เขาคอยอยู่จนถึงลำดับที่จะเข้าเฝ้า แล้วจึงเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักการะอันยากไร้นี้เป็นของข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอนุเคราะห์ข้าพระองค์ รับสักการะนี้เถิด พระศาสดาทรงอนุเคราะห์เขา ทรงรับสักการะนั้นด้วยบาตรศิลา อันท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายแล้ว ได้ทรงอธิษฐานให้ไทยธรรมที่ถวายเพียงพอแก่ภิกษุ ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า น้ำผึ้งนั้นก็มีเพียงพอแก่พระสาวกทั้งสิ้น
ครั้นแล้วท่านถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้กระทำภัตกิจ เสร็จแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ด้วยผลแห่งกรรมนี้ ขอข้าพระองค์ พึงเป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยความเป็นผู้มีลาภ ในภพที่เกิดแล้ว ๆ ดังนี้ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตร ความปรารถนาของท่านจงสำเร็จอย่างนั้น ดังนี้แล้ว ทรงกระทำภัตตานุโมทนาแก่เขาและชาวเมืองแล้วเสด็จหลีกไป
ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติทั้งสองนั้น จึงเป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใดๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านในตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับการสร้างรูปเหมือน รูปหล่อ หรือพระเครื่องที่เป็นรูปของพระสิวลีไว้บูชา
รูปเหมือนบูชาพระสิวลี วัดท่าซุง ต.น้ำซึม จ.อุทัยธานี |
อันเนื่องด้วยพระสิวลี ท่านเป็นพระอริยะบุคคล และเป็นบุคคลสำคัญในพระพุทธศาสนาที่มีประวัติบันทึกไว้ในครั้งพุทธกาล และอันเนื่องด้วยท่านเป็นผู้ที่ทรงคุณธรรมวิเศษ เป็นเลิศทางด้านการมีลาภสักการะ จึงได้มีการจัดสร้างรูปเหมือน รูปจำลอง โดยมีการสร้างพระสิวลีมีลักษณะ เป็นรูปพระภิกษุสงฆ์ ยืนถือไม้เท้าในมือขวา ส่วนมือซ้ายนั้นแบกกลดพาดอยู่บนบ่า และสะพายย่ามใส่เครื่องอัตถบริขาร หรือบางแห่งสร้างเป็นแบบรูปพระสงฆ์นั่งถือบาตรก็มี ซึ่งวัดและศาสนาสถานต่างๆมักสร้างเป็นองค์รูปเหมือนพระสิวลีไว้ให้พุทธศาสนิกชน ได้กราบไหว้สักการะบูชา
รูปเหมือนพระสิวลี วัดเก่าหนองสลิง ต.ศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน |
ในตำนานการสร้างพระเครื่องของไทย พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษ ก็ได้นำพระสิวลีมาสร้างเป็นพระเครื่อง และได้ทำการปลุกเสกด้วยพระเวทย์ หรือมนต์คาถาเกี่ยวกับโชคลาภ ต่างๆจนมีความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อแจกจ่ายให้ศิษยานุศิษย์ได้บูชา เพื่อเป็นสังฆานุสติ หรือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและเป็นใช้เป็นสิ่งระลึกนึกถึงพระเถระผู้ทรงคุณธรรมวิเศษ
ประเภทและรูปแบบพระสิวลีที่นำมาสร้างเป็นวัตถุมงคลได้แก่
๑.รูปเหมือน หรือรูปหล่อที่เป็นเนื้อผง เนื้อดิน หรือเป็นโลหะหล่อ
๒.ผ้ายันต์ หรือรูปถ่าย
๓.ตะกรุด
พระสิวลีที่เกจิอาจารย์ต่างๆ ได้สร้างไว้เป็นพระเครื่องได้แก่
-พระสิวลีหลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง จ.นนทบุรี
-พระสิวลีหลวงปู่นาค วัดระฆังโฆสิตาราม กทม.
-พระสิวลีหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จ.ชัยนาท
-พระสิวลีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.
-พระสิวลีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง
-พระสิวลี หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จ.นครปฐม
-พระสิวลี หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
รูปเหมือนพระสิวลีแบบนั่ง |
พระสิวลี หลวงปู่นาค วัดระฆัง |
พระสิวลีเนื้อผง วัดประสาทบุญวาส กทม. |
พระสิวลีหินแกะ หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด |
ผ้ายันต์พระสิวลี หลวงพ่อกวย วัดโฆิตาราม ชัยนาท |
ผ้ายันต์พระสิวลี หลวงปู่น้อยปลุกเสก |
นอกจากนั้นในภายหลังเกจิอาจารย์ และวัดต่างๆ ก็ได้มีการจัดสร้างพระสิวลีขึ้นอีกหลายรุ่น หลายแบบ
อันเนื่องด้วยพระสิวลีท่านเป็นพระอรหันต์ ที่มีบารมีหรือมีคุณในทางด้านโชคลาภมาก คือท่านจะเดินทางไปทางไหน สู่ที่แห่งใด ก็มักจะเกิดลาภกับท่านอยู่เสมอ การที่อาศัยบารมี ของพระสิวลี จะทำให้ผู้ที่เคารพบูชาด้วยความเคารพและประกอบสัมมาอาชีวะแล้วจะได้รับผล เป็นความสงบสุขร่มเย็น และสมบูรณ์พูนสุขด้วยโภคทรัพย์ โชคลาภ และยังได้ระลึกนึกถึงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นพระอรหันต์เจ้าที่หมดกิเลสทั้งปวงแล้วเป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพบูชาอีกด้วย ดังนั้นรูปเหมือนพระสิวลี หรือพระเครื่อง พระสิวลีจึงเป็นที่ได้รับความนิยมจากสังคมไทยอย่างไม่เสื่อมคลาย
คาถาบูชาพระสิวลี(รวมคาถาพระสิวลี)
คาถาบูชาพระสิวลี
ตั้งนะโม ๓ จบ
สีวะลี จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี จะ มหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
สีวะลี เถระคุณัง เอตัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เมฯ (ท่อง 7 จบ)
Tags : พระสิวลี, ประวัติพระสิวลี, บูชาพระสิวลี, คาถาพระสิวลี
พระสิวลี พระสาวกในครั้นพุทธกาล ผู้มีเอตทัคคะเป็นเลิศทางด้านโชคลาภ
Reviewed by siammongkol
on
13:38
Rating: